ทำความรู้จักกับ ‘โรครูมาตอยด์’ คืออะไร เกิดจากอะไร รักษายังไง?

รูมาตอยด์

โรครูมาตอยด์ เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกาย บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรครูมาตอยด์ อาการ สาเหตุ และการรักษา สำหรับผู้ที่สนใจและต้องการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น

โรครูมาตอยด์คืออะไร?

โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เป็นโรคภูมิแพ้อักเสบเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อ ทำให้ข้อต่อบวม ปวด และแข็งตัว โดยมักเริ่มจากข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วมือและข้อมือ จากนั้นจึงลุกลามไปยังข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวด ทุพพลภาพ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุของโรครูมาตอยด์

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรครูมาตอยด์ แต่เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบในข้อต่อ โดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เกิดโรครูมาตอยด์ ได้แก่ พันธุกรรม อายุ เพศ และสิ่งแวดล้อม

การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์

การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis – RA) เป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อให้สามารถรักษาโรคได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา การวินิจฉัยนี้รวมถึงการตรวจร่างกาย การซักประวัติทางการแพทย์ การตรวจเลือด และการถ่ายภาพต่าง ๆ ดังนี้:

  1. การตรวจร่างกายและการซักประวัติทางการแพทย์:
    • แพทย์จะตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีอาการบวม แดง หรือร้อนที่ข้อต่อหรือไม่ รวมถึงการตรวจการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
    • การซักประวัติทางการแพทย์เป็นการสอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
  2. การตรวจเลือด:
    • การตรวจหาปัจจัยรูมาตอยด์ (Rheumatoid Factor – RF): ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์จำนวนมากจะมีค่า RF ในเลือดสูง ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันที่ร่างกายผลิตขึ้นมาอย่างผิดปกติ
    • การตรวจ Anti-Cyclic Citrullinated Peptide (Anti-CCP): เป็นการตรวจหาสารภูมิคุ้มกันที่มักพบในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์และมีความแม่นยำสูงในการวินิจฉัย
    • การตรวจอัตราเร่งปฏิกิริยา (Erythrocyte Sedimentation Rate – ESR) และ C-Reactive Protein (CRP): เพื่อตรวจสอบระดับการอักเสบในร่างกาย
  3. การถ่ายภาพทางการแพทย์:
    • การถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ (X-ray): เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของข้อต่อ เช่น การเสื่อมสภาพของกระดูกและข้อต่อ การบวมของเนื้อเยื่อ
    • การทำอัลตราซาวด์ (Ultrasound) หรือ MRI: การตรวจด้วยวิธีนี้สามารถแสดงภาพของเนื้อเยื่ออ่อน เช่น กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ซึ่งจะช่วยในการตรวจหาการอักเสบที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยเอ็กซ์เรย์
  4. การประเมินเกณฑ์การวินิจฉัย:
    • แพทย์อาจใช้เกณฑ์จาก American College of Rheumatology (ACR) และ European League Against Rheumatism (EULAR) เพื่อประเมินคะแนนของผู้ป่วยในแง่ของจำนวนข้อต่อที่อักเสบ ระดับการอักเสบในเลือด ระยะเวลาของอาการ และการตรวจผลเลือดอื่น ๆ

การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์จำเป็นต้องอาศัยการตรวจหลายขั้นตอนร่วมกัน เนื่องจากไม่มีการตรวจเพียงอย่างเดียวที่สามารถยืนยันโรคได้ การวินิจฉัยที่แม่นยำจะช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาและการดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โรครูมาตอยด์ เจ็บข้อ

การรักษาโรครูมาตอยด์

การรักษาโรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis – RA) มุ่งเน้นไปที่การลดอาการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด ป้องกันความเสียหายของข้อต่อ และรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น การรักษานี้มักประกอบด้วยการใช้ยา การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การทำกายภาพบำบัด และในบางกรณีอาจต้องทำการผ่าตัด โดยรายละเอียดการรักษามีดังนี้

  1. การใช้ยา:
    • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs): เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ นาโพรเซน (Naproxen) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ แต่ไม่สามารถหยุดการลุกลามของโรคได้
    • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids): เช่น เพรดนิโซน (Prednisone) ที่ช่วยลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว และมักใช้ในช่วงเริ่มต้นของการรักษาหรือในกรณีที่อาการรุนแรง
    • ยาต้านรูมาตอยด์ที่ปรับเปลี่ยนโรค (DMARDs): เช่น เมโธเทรกเซต (Methotrexate) หรือ เลฟลูโนไมด์ (Leflunomide) ยากลุ่มนี้จะช่วยชะลอการลุกลามของโรคและป้องกันความเสียหายของข้อต่อ
    • ยาชีวบำบัด (Biologics): เช่น อดาลิมูแมบ (Adalimumab) หรือ เอทาเนอร์เซ็ปต์ (Etanercept) ยากลุ่มนี้จะทำงานโดยการกำหนดเป้าหมายไปที่ส่วนประกอบเฉพาะของระบบภูมิคุ้มกันที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการอักเสบ
  2. การทำกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูสมรรถภาพ:
    • กายภาพบำบัด: ผู้ป่วยจะได้เรียนรู้การออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อต่อ เพิ่มความยืดหยุ่น และช่วยให้การเคลื่อนไหวดีขึ้น
    • การใช้อุปกรณ์เสริม: เช่น เครื่องช่วยเดินหรืออุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงกดดันต่อข้อต่อ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้สะดวกขึ้น
  3. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:
    • การรับประทานอาหาร: การเลือกทานอาหารที่มีสารต้านการอักเสบ เช่น ปลาที่มีโอเมก้า-3 ผักผลไม้สด ธัญพืชที่มีใยอาหารสูง และการหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการอักเสบ เช่น อาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันทรานส์
    • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเจ็บปวด
    • การพักผ่อนและการจัดการความเครียด: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและการใช้เทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การทำสมาธิหรือการผ่อนคลาย จะช่วยลดการอักเสบและช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น
  4. การผ่าตัด:
    • ในกรณีที่การรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัดไม่สามารถควบคุมอาการได้ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อต่อ (Joint replacement surgery) หรือการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อรอบข้อต่อที่เสียหาย

การรักษาโรครูมาตอยด์ต้องได้รับการปรับตามความเหมาะสมกับอาการและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย แพทย์จะติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับปรุงแผนการรักษาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การป้องกันและการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่เป็นโรครูมาตอยด์

การป้องกันและการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่เป็นโรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis – RA) เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยชะลอการลุกลามของโรค ลดอาการเจ็บปวด และเพิ่มคุณภาพชีวิต การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวทางดังนี้:

1. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:

  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ซึ่งไม่ทำให้ข้อต่อต้องรับน้ำหนักมากเกินไป การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อต่อและเพิ่มความยืดหยุ่น
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์: ควรรับประทานอาหารที่มีสารต้านการอักเสบ เช่น ผักผลไม้สด ปลาแซลมอน อาหารที่มีโอเมก้า-3 และธัญพืชที่มีใยอาหารสูง หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาลและไขมันทรานส์ที่อาจกระตุ้นการอักเสบ
  • การพักผ่อนที่เพียงพอ: นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวและลดการอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการนอนดึกหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ

2. การจัดการความเครียด:

  • การฝึกสมาธิหรือการผ่อนคลาย: เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกสมาธิ การหายใจลึก ๆ หรือการทำโยคะ จะช่วยลดความเครียดและส่งผลดีต่อสุขภาพจิต
  • การใช้เวลาทำกิจกรรมที่ชอบ: การทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือทำงานศิลปะ จะช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขในชีวิตประจำวัน

3. การติดตามอาการและรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง:

  • การติดตามอาการกับแพทย์: ควรไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินอาการและปรับปรุงแผนการรักษาตามความเหมาะสม รวมถึงการตรวจเลือดและการทำเอ็กซ์เรย์เป็นระยะ
  • การใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ: รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งและไม่หยุดยาหรือปรับขนาดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ การใช้ยาอย่างต่อเนื่องจะช่วยควบคุมอาการและป้องกันความเสียหายของข้อต่อ

4. การป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อ:

  • การใช้อุปกรณ์ช่วย: ใช้เครื่องช่วยเดิน หรืออุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงกดดันต่อข้อต่อ เช่น สนับเข่า หรือสนับข้อมือ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
  • การจัดการกับท่าทางในชีวิตประจำวัน: หลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากหรือต้องยกของหนัก ปรับเปลี่ยนท่าทางให้เหมาะสมและพักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อย

5. การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน:

  • การได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์: พูดคุยและแบ่งปันความรู้สึกกับคนใกล้ชิดหรือกลุ่มสนับสนุนในชุมชน การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนฝูงจะช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับโรคได้ดีขึ้น
  • การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน: การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยรูมาตอยด์จะช่วยให้ผู้ป่วยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์

การป้องกันและการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้ที่เป็นโรครูมาตอยด์สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่การดูแลตนเองที่ดีจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง

https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/rheumatoid-arthritis/symptoms-causes/syc-20353648

https://www.nhs.uk/conditions/rheumatoid-arthritis/#:~:text=Rheumatoid%20arthritis%20is%20an%20autoimmune,joints%2C%20cartilage%20and%20nearby%20bone.

Recent blog
ปวยเล้ง

ผักปวยเล้ง คืออะไร? ประโยชน์และสรรพคุณดี ๆ ที่หลายคนอาจยังไม่รู้

ผักปวยเล้ง: ประโยชน์มากกว่าที่คิด ผักปวยเล้งเป็นพืชสมุนไพรที่คุ้นเคยกันในหมู่คนไทย แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าผักชนิดนี้มีสรรพคุณและประโยชน์มากมายสำหรับสุขภาพ ในบทความนี้เราจะพาคุณค้นพบความน่าสนใจของผักปวยเล้งที่หลายคนอาจยังไม่ทราบ

recent blog

รักษาภูมิแพ้อากาศ ปัญหากวนใจใครหลายๆ คน

รักษาภูมิแพ้อากาศ ปัญหากวนใจใครหลายๆ คน

วิธีรักษาภูมิแพ้อากาศ การป้องกันและการรักษา ภูมิแพ้อากาศเป็นปัญหาที่กวนใจใครหลายคน แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและการดำเนินการที่เหมาะสม สามารถช่วยให้คุณสามารถจัดการกับอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้ วิธีการรักษาภูมิแพ้อากาศสามารถแบ่งออกเป็นสองหมวดหมู่หลักๆ คือ การป้องกันและการรักษา การป้องกันภูมิแพ้อากาศเริ่มต้นด้วยการทราบถึงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นฝุ่น

อาการเบื่ออาหารอันตรายไหม รักษายังไงดี

อาการเบื่ออาหารอันตรายไหม รักษายังไงดี

อาการเบื่ออาหารอันตรายไหม อาการเบื่ออาหารอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง, โรคซึมเศร้า, หรือโรคทางเดินอาหาร หากมีอาการเบื่ออาหารอย่างรุนแรงหรือนานนาน ควรปรึกษาแพทย์ อาการเบื่ออาหารเป็นสิ่งที่เราอาจพบเจอในชีวิตประจำวัน แต่หากเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง

รู้จักกับ ยาฆ่าเชื้อ คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ?

รู้จักกับ ยาฆ่าเชื้อ คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ?

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับยาฆ่าเชื้อ ยาฆ่าเชื้อเป็นสารที่มีความสามารถในการทำลายเชื้อโรคที่อาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อในมนุษย์และสัตว์ ซึ่งสามารถทำลายเชื้อโรคทั้งที่อยู่บนผิวหนัง, บนพื้นหรือพื้นผิวต่างๆ และในอากาศ ยาฆ่าเชื้อมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่สารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาด ไปจนถึงสารที่ใช้ในการฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล และสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงในการระบาดของเชื้อโรค ยาฆ่าเชื้อมีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ

วิธีแก้ตาบวม ทำง่าย สามารถทำเองได้ที่บ้าน

วิธีแก้ตาบวม ทำง่าย สามารถทำเองได้ที่บ้าน

การใช้ถุงน้ำแข็ง วิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการแก้ปัญหาตาบวมคือการใช้ถุงน้ำแข็ง วิธีการคือ นำถุงน้ำแข็งมาวางบนตาบวม ประมาณ 10-15 นาที ทำซ้ำๆ 2-3 ครั้งต่อวัน

เฉลย! ตาขวากระตุก ลางบอกเหตุ หรือ ปัญหาสุขภาพ ?

เฉลย! ตาขวากระตุก ลางบอกเหตุ หรือ ปัญหาสุขภาพ ?

สาเหตุและการรักษาของอาการตาขวากระตุก ตาขวากระตุกเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากปัจจัยทางกายภาพและจิตใจ แต่ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด การทราบถึงสาเหตุและวิธีการรักษาเป็นสิ่งที่สำคัญ อาการตาขวากระตุกอาจเกิดจากการที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ การนอนไม่เพียงพอ หรือการเครียด ในบางกรณี อาการนี้อาจเป็นสัญญาณของโรคทางตา

เทมเป้คืออะไร มีประโยชน์ยังไง ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม ?

เทมเป้คืออะไร มีประโยชน์ยังไง ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม ?

เทมเป้คืออะไร เทมเป้คืออาหารที่มาจากญี่ปุ่น ทำจากถั่วเหลืองที่ผ่านกระบวนการหมัก มีรสชาติเปรี้ยว หอม และมีลักษณะเนื้อเป็นฟอง มีสารอาหารครบถ้วน รวมถึงโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต

อาการไฮเปอร์ (Hyperactivity) คืออะไร รักษาได้หรือไม่

อาการไฮเปอร์ (Hyperactivity) คืออะไร รักษาได้หรือไม่

อาการไฮเปอร์ (Hyperactivity) อาการไฮเปอร์คือสภาพที่ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่กระตือรือร้น, ไม่สามารถนั่งสงบได้, มักจะทำสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและมีความยุ่งยากในการมองเห็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำ อาการไฮเปอร์ (Hyperactivity) คือสภาพที่ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่กระตือรือร้น,

Scroll to Top